ปี 2025 เศรษฐกิจถดถอย ? ทำไมดอลลาร์ถึงสำคัญและเราควรรู้  

2025-03-14 | ค่างินดอลลลาร์ , ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ , บทความวิเคราะห์ตลาดรายสัปดาห์ , ภาวะเศรษฐกิจถดถอย , ภาษีทรัมป์

คำถามใหญ่ในตลาดตอนนี้คือ ใกล้ถึงภาวะเสรษฐกิจถดถอยแล้วหรือยัง? เพื่อจะตอบคำถามนี้ได้อย่างดีนักลงทุนทั้งหลายต้องคอยจับตาดูเงินดอลลาร์สหรัฐอย่างใกล้ชิด ในขณะที่ตลาดส่งสัญญาณว่า “ปี 2025 เศรษฐกิจถดถอย”  แต่เงินดอลลาร์กลับไม่เป็นเหมือนที่คาดไว้ แทนที่จะเป็นเหมือนที่ปลอดภัยแบบก่อนๆ แต่กลับอ่อนค่าลงมาก ดัชนีค่าเงินดอลลาร์เพิ่งแตะระดับจุดต่ำสุดมาตั้งแต่พฤศจิกายน 2567 การเดิมพันอัตราดอกเบี้ยกำลังเพิ่มสูงขึ้น และตอนนี้เฟด (Fed) ก็เป็นห่วงอนาคตของดอลลาร์เช่นกัน  “ฉันเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับปัจจัยที่อาจคุกคามเงินสำรองของดอลลาร์สหรัฐ”  Fed’s Harker ได้กล่าวไว้  

แล้วอะไรหละที่อยู่เบื้องหลังของการร่วงของเงินดอลลาร์ และมีความหมายต่อนักเทรดและนักลงทุนอย่างไร?  

ต่อให้รักหรือเกลียดทรัมป์แค่ไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่าปัจจุบันจากนโยบายของรัฐบาลชุดนี้มีผกระทบต่อตลาดและเป็นส่วนที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง   

นโยบายการคลังที่ต่างจากวาระแรก

ในวาระที่สองนี้ ทรัมป์มุ่งเน้นไปที่การลดการใช้จ่ายของรัฐบาลและการลดการขาดดุลงบประมาณ แม้ว่าสิ่งนี้อาจเป็นผลดีต่อความยั่งยืนของหนี้ระยะยาว แต่ก็สร้างความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ นักลงทุนจึงเริ่มปรับพอร์ต หันออกจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ คาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 

การปรับลดอัตราดอกเบี้ย

การคาดการณ์ว่าเฟด (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกกำลังกดดันค่าเงินดอลลาร์ เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง ผลตอบแทนจากการถือครองเงินดอลลาร์ก็ลดลงตาม ทำให้เงินดอลลาร์ไม่น่าสนใจเทียบกับสกุลเงินอื่น 

ความตึงเครียดทางการค้า

แนวคิด “America First” ของทรัมป์กลับมาอีกครั้ง ส่งผลให้ตลาดทั่วโลกเตรียมรับมือกับมาตรการกำแพงภาษีใหม่และสงครามการค้าครั้งใหม่ ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้นักลงทุนเริ่มมองหาสินทรัพย์อื่น  

โดยปกติแล้ว เมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย นักลงทุน โดยเฉพาะ “Smart Money” หรือเงินทุนจากนักลงทุนสถาบัน มักจะไหลเข้าสู่ดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ครั้งนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ตรงกันข้าม ค่าเงินดอลลาร์กลับอ่อนค่าลง 

สิ่งนี้บอกเราได้อย่างหนึ่งคือ ความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงอาจ ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์  

(ภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ควรนำไปอ้างอิงถึงคำแนะนำทางการเงิน)

ลองย้อนดูวิกฤติที่ผ่านมา วิกฤตการเงินปี 2008 ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) พุ่งขึ้นกว่า 20% ช่วงโควิด-19 ปี 2020 ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 7% ภาวะเศรษฐกิจถดถอยปี 2022 ดอลลาร์แข็งค่าประมาณ 20% ปกติแล้วในอดีต ดอลลาร์ที่แข็งค่ามักเป็นสัญญาณเตือนภาวะถดถอย แต่ รอบนี้แตกต่างออกไป  

แต่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2025 อาจจะไม่เหมือนอย่างที่เราคิด เพราะปัจจุบัน ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงอาจสะท้อนว่า แม้ตลาดจะมีความกลัวสูง แต่ Smart Money ยังคงไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจจะล่มสลายในเร็ว ๆ นี้ 

เราจึงต้องจับตาการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ให้ดี เพราะมันอาจช่วยให้คุณมองเห็นสัญญาณที่แท้จริงของตลาด  

แม้ตลาดจะคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตช้าลง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นล่มสลาย (Economic Collapse) ดังนั้น นักลงทุนจึงมองเห็น โอกาสในการลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากดอลลาร์อ่อนค่า คือ  

  • หุ้น: เมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลง หุ้นสหรัฐฯ มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า บริษัทอเมริกันสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น เนื่องจากต้นทุนการส่งออกถูกลง 
  • ทองคำ :โดยปกติแล้ว ทองคำเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับค่าเงินดอลลาร์ เมื่อเกิดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทองคำอาจพุ่งสูงขึ้นอีก 
  • คริปโต: Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีอื่น ๆ อาจได้รับ แรงหนุนจากสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น เมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง ความกังวลเรื่องเงินเฟ้ออาจลดลง ซึ่งส่งผลบวกต่อสินทรัพย์ดิจิทัล 

นักลงทุน Smart Money มองเห็นสิ่งนี้ในอนาคต  

Source : Augur Infinity(ภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ควรนำไปอ้างอิงถึงคำแนะนำทางการเงิน)

เมื่อทุกคนต่างตื่นตระหนกกับ “ภาวะเศรษฐกิจถดถอยปี 2025” นักลงทุนที่มองทะลุความกลัวกลับเลือก Shorting the Dollar และจนถึงตอนนี้ กลยุทธ์นี้ให้ผลตอบแทนอย่างงดงาม เนื่องจากดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ร่วงลงไปแล้วกว่า 4% ตั้งแต่ต้นปี 

การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ (USD) ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ตลาดอเมริกาเท่านั้น แต่ยังส่งแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจทั่วโลก 

ตลาดเกิดใหม่ได้ประโยชน์ เมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า หนี้ของประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มักถูกกำหนดเป็นสกุลเงินดอลลาร์ จะจัดการได้ง่ายขึ้น เพราะภาระหนี้ลดลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินท้องถิ่น 

ค่าเงินในยุโรปและเอเชียแข็งค่าขึ้น เงินยูโร (EUR), เงินเยน (JPY) และ เงินหยวน (CNY) ได้รับกระแสเงินทุนไหลเข้า เนื่องจากนักลงทุนกำลังมองหาทางเลือกใหม่ในการถือสินทรัพย์ปลอดภัย  

ทุกสายตาจับจ้องไปที่ Jerome Powell และธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หากเฟดเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยอย่างจริงจัง ค่าเงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลงต่อไป ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงมีโอกาสปรับตัวขึ้น แต่หากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง เฟดอาจต้องชะลอการลดดอกเบี้ย ซึ่งอาจช่วยพยุงค่าเงินดอลลาร์ให้มีเสถียรภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจทำให้ตลาดเกิดความผันผวน 

นโยบายของเฟดต้องอาศัยความสมดุล หากลดดอกเบี้ยเร็วเกินไป เงินเฟ้ออาจกลับมาพุ่งสูง แต่หากลดช้าเกินไป อาจสร้างความกังวลในตลาดและนำไปสู่การเทขายสินทรัพย์เสี่ยง 

สิ่งที่นักลงทุนควรพิจารณา

  • เฝ้าติดตามตลาดหุ้นในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์มีความผันผวน 
  • ประเมินทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง หากค่าเงินดอลลาร์ยังคงอ่อนค่า 
  • จับตาความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดิจิทัลตามสภาพคล่องของตลาด 

ไม่ว่าเศรษฐกิจถดถอยในปี 2025 จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ค่าเงินดอลลาร์ยังคงเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญ ปัจจุบัน การอ่อนค่าของดอลลาร์ได้สร้างข้อสงสัยเกี่ยวกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในอนาคต 

สำหรับนักลงทุน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจเป็นโอกาสสำคัญ ตามสถิติในอดีต ดอลลาร์ที่อ่อนค่ามักส่งผลดีต่อ ตลาดหุ้น ทองคำ และคริปโตเคอเรนซี 

คำถามที่เหลืออยู่ตอนนี้คือ เฟดจะกล้าลดดอกเบี้ยมากแค่ไหน? และนักเทรดจะยังคงเดิมพันกับการอ่อนค่าของดอลลาร์ต่อไปหรือไม่? 

อ่านบทความวิเคราะห์ตลาดเชิงลึกของ Doo Prime เพิ่มเติมได้ที่นี่


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต D Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ D Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-12-04 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

วิเคราห์ “ราคาโลหะเงิน” ในรอบ 100 ปี ที่เทรดเดอร์จับตามอง 

ราคาโลหะเงิน หรือ Silver พุ่งระเบิดในปี 2025 โลหะชนิดนี้ได้ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ ในช่วงกลาง 50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งปรับตัวขึ้นมากกว่าสองเท่าจากเมื่อตอนต้นปี ขณะนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ที่เคลื่อนไหวรวดเร็วที่สุดของปี 2025 แซงหน้าแม้กระทั่งทองคำ  ยอดการค้นหาคำว่า “คาดการณ์ราคาโลหะเงิน”, “แนวโน้มโลหะเงิน ปี 2025”, และ “โลหะเงินจะแตะ $100 หรือไม่?” พุ่งสูงขึ้น รับกระแสการฝ่าวงล้อมที่ตลาดกำลังตื่นตัว การขยับตัวครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะโลหะเงินได้ระเบิดทะลุกรอบราคาสำคัญที่เคยตรึงแนวโน้มไว้มานานหลายทศวรรษได้สำเร็จ  โลหะเงินได้ทะลุผ่านกรอบราคาระยะยาวที่คงอยู่มานานหลายทศวรรษ ด้วยความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยของเฟด ความต้องการในภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น และแพทเทิร์นกราฟ 100 ปีที่หาดูได้ยาก ซึ่งกำลังปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทำให้โลหะเงินกลายเป็นหนึ่งในตลาดที่ถูกจับตามองมากที่สุดในปีนี้  แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด: มีความหมายอย่างไรต่อราคาโลหะ  หลังจากผ่านวัฏจักรการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ตอนนี้ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเข้าสู่ระยะผ่อนคลายในปีถัดไป การคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยหลายครั้ง ประกอบกับเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ได้ช่วยหนุนความต้องการในโลหะมีค่าโดยรวม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลหะเงิน  อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมีความสำคัญเพราะ:  โลหะเงินได้ตอบสนองล่วงหน้าไปแล้ว ราคาได้ปรับตัวรับกับแนวคิดที่ว่าผลตอบแทนที่แท้จริง อาจมีแนวโน้มลดลงในปี 2026 แม้ว่าช่วงเวลาที่แน่นอนของการลดดอกเบี้ยจะยังไม่ชัดเจนก็ตาม   นักวิเคราะห์จากหลายสถาบันคาดการณ์ราคาเฉลี่ยของ โลหะเงินไว้ที่ช่วงกลาง 50 ถึงกลาง 60 ดอลลาร์สำหรับปี 2026 โดยมีบางสำนักที่มองบวกกว่านั้นและชี้เป้าไปสูงกว่า นักกลยุทธ์บางรายถึงกับโต้แย้งว่า หากแนวโน้มปัจจุบันของอัตราดอกเบี้ย อุปทาน และความต้องการลงทุนยังดำเนินต่อไป โลหะเงินหลักร้อยดอลลาร์ ก็มีความเป็นไปได้ในช่วงปลายทศวรรษ มุมมองเหล่านั้นยังคงเป็นการเก็งกำไรและอยู่ในฝั่งที่มองโลกในแง่ดีที่สุด แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเรื่องราวทางมหภาคได้พลิกกลับมาเป็นใจให้กับโลหะทองคำมากแค่ไหน  แพทเทิร์นโลหะเงิน 100 ปี: การฝ่าวงล้อมระยะยาวที่หาได้ยาก  หนึ่งในองค์ประกอบที่น่าสนใจที่สุดคือ แพทเทิร์นกราฟโลหะเงินรอบ 100 ปี   โครงสร้างนี้ดูคล้ายกับรูปหูถ้วยกาแฟ ที่ใช้เวลาเกือบครึ่งศตวรรษในการก่อตัว และอีกครึ่งศตวรรษในการสร้างฐานเพื่อพาราคามาถึงจุดนี้  รูปแบบกราฟระยะยาวไม่ได้ปรากฏให้เห็นบ่อยนัก และเมื่อมันเกิดขึ้น เทรดเดอร์จะให้ความสนใจ การตั้งลำนี้ส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างตลาดระยะยาว มากกว่าจะเป็นเพียงการดีดตัวระยะสั้นการฝ่าวงล้อมเหนือจุดสูงสุดเดิมเป็นการยืนยันความสมบูรณ์ของแพทเทิร์น นี่คือเหตุผลที่เทรดเดอร์จำนวนมากกำลังกลับมาดูกราฟโลหะเงินระยะยาวและเปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในอดีตของโลหะมีค่า   นักวิเคราะห์บางรายตั้งข้อสังเกตว่าทองคำเคยสร้างโครงสร้างที่คล้ายกันนี้ก่อนที่จะเกิดการพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงปี 2000 การเปรียบเทียบทางประวัติศาสตร์นี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยจุดกระแสความสนใจต่อกราฟระยะยาวของโลหะเงิน  แนวโน้มอุตสาหกรรมโลหะเงิน: ทำไมดีมานด์ถึงโตต่อเนื่อง  ต่างจากทองคำ โลหะเงินมีฐานความต้องการในภาคอุตสาหกรรมที่ลึกซึ้ง  แนวโน้มอุตสาหกรรมของโลหะเงินยังคงเป็นหนึ่งในกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาโลหะทั้งหมด ภาคส่วนหลักที่ขับเคลื่อนความต้องการ ได้แก่:  ด้วยการขยายตัวของพลังงานสีเขียวทั่วโลก ความต้องการจากภาคพลังงานแสงอาทิตย์เพียงอย่างเดียวก็ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนต่อเนื่องหลายปี การผลิต EV และการเติบโตของอิเล็กทรอนิกส์ยังช่วยเพิ่มแรงหนุนอีกชั้นหนึ่ง แม้ว่าดีมานด์ภาคอุตสาหกรรมจะชะลอตัวในระยะสั้น แต่แนวโน้มการใช้งานในระยะยาวยังคงแข็งแกร่ง  ในขณะเดียวกัน โลหะเงินก็ยังคงมีพฤติกรรมเป็นเหมือนโลหะเพื่อการเงิน นักลงทุนซื้อมันในฐานะทางเลือกที่ถูกกว่าทองคำ เมื่อพวกเขากังวลเรื่องเงินเฟ้อ การเสื่อมค่าของสกุลเงิน หรือความเสี่ยงในระบบการเงิน  กล่าวอีกนัยหนึ่ง โลหะเงินมีความต้องการทั้งในแบบอุตสาหกรรมและสินทรัพย์ปลอดภัย ธรรมชาติแบบสองด้านนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความผันผวนของราคาโลหะเงินสูงมาก เมื่อกิจกรรมทางอุตสาหกรรมและความต้องการเสี่ยงลดลงพร้อมกัน โลหะเงินอาจถูกเทขายอย่างหนัก แต่เมื่อทั้งสองปัจจัยฟื้นตัวพร้อมกัน ขาขึ้นก็อาจรุนแรงได้เช่นกัน ดังที่ปี 2025 ได้แสดงให้เห็นแล้ว  โลหะเงินมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริงเมื่อเทียบกับทองคำหรือไม่?  อีกหนึ่งประเด็นที่ปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งในงานวิจัยและสื่อต่างๆ คือ อัตราส่วนทองคำต่อเงิน ในอดีต อัตราส่วนนี้มีการเคลื่อนไหวในวงกว้าง แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มักจะทรงตัวอยู่ใกล้หรือเหนือระดับ 70 ซึ่งหมายความว่าต้องใช้โลหะเงินประมาณ 70 ออนซ์ เพื่อซื้อทองคำหนึ่งออนซ์  นักวิเคราะห์จำนวนมากโต้แย้งว่า เมื่อพิจารณาจาก:  โลหะเงินดูเหมือนจะมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริงเมื่อเทียบกับทองคำที่อัตราส่วนปัจจุบัน แต่นั่นไม่ได้การันตีผลลัพธ์ใดๆ มันหมายความเพียงว่า หากทองคำยังคงแข็งแกร่งและอัตราส่วนขยับเข้าใกล้จุดต่ำสุดในประวัติศาสตร์ โลหะเงินจำเป็นต้องปรับตัวขึ้นเร็วกว่าทองคำ  ข้อถกเถียงเรื่องโลหะเงิน $100  ณ ตอนนี้ คำถามที่ว่า “โลหะเงินจะไปถึง $100 หรือไม่?” มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง มันปรากฏอยู่ในงานวิจัยของธนาคาร บทสัมภาษณ์ และบทวิเคราะห์ราคานับไม่ถ้วน  นี่คือความเป็นจริง:  สำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุน ประเด็นสำคัญไม่ใช่การยึดติดกับตัวเลขใดตัวเลขหนึ่งว่าเป็นโชคชะตาที่ต้องเกิด แต่ให้มองว่า ระดับ $100 ทำหน้าที่เป็นจุดอ้างอิงทางจิตวิทยา ที่ส่งสัญญาณว่าเรื่องราวขาขึ้นของโลหะเงินในขณะนี้มีความเข้มข้นเพียงใด  ในมุมมองโครงสร้างตลาด สิ่งที่สำคัญกว่าคือ:  สิ่งเหล่านี้คือตัวแปรที่จะตัดสินว่าการพยากรณ์ราคาโลหะเงินในปัจจุบันจะเป็นแบบอนุรักษ์นิยมหรือมองโลกในแง่ดีเกินไป  พยากรณ์โลหะเงินปี 2025: สัญญาณสำคัญที่ต้องจับตาต่อไป  ปัจจัยกระตุ้นหลายประการจะมีอิทธิพลต่อเฟสถัดไปของแนวโน้มโลหะเงิน:  1. การตัดสินใจลดดอกเบี้ยของเฟด  การเปลี่ยนแปลงใดๆ ในเรื่องเวลาหรือขนาดของการลดดอกเบี้ย สามารถส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้ทันที  2. การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ  ดอลลาร์ที่อ่อนค่ามักจะช่วยหนุนโลหะเงินและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ  3. ข้อมูลความต้องการภาคอุตสาหกรรม  พลังงานแสงอาทิตย์ EV อิเล็กทรอนิกส์ และพลังงานสะอาด ยังคงเป็นภาคส่วนที่สำคัญที่สุด  4. ระดับอุปทานและสินค้าคงคลัง  ความตึงตัวของสินค้าจริงในศูนย์จัดเก็บสำคัญยังคงเป็นประเด็นต่อเนื่อง  5. อัตราส่วนทองคำต่อเงิน  การลดลงอย่างต่อเนื่องของอัตราส่วนจะบ่งชี้ถึงความต้องการโลหะเงินที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อเทียบกัน  6. อารมณ์ตลาดและกระแสเงินทุนสินทรัพย์ปลอดภัย  ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนทางมหภาค มักจะเพิ่มความสนใจในโลหะมีค่า  การฝ่าวงล้อมของโลหะเงินในปี 2025 ยืนอยู่บนทางแยกของแรงขับเคลื่อนเหล่านี้ กราฟราคา 100 ปีแสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวในปัจจุบันมีความพิเศษเพียงใด ในขณะที่กราฟความต้องการด้านการผลิตอธิบายว่าทำไมโลหะชนิดนี้ถึงมีเครื่องยนต์ขับเคลื่อนมากกว่าหนึ่งตัว  ไม่ว่าตลาดจะไปถึงระดับหลักร้อยดอลลาร์ตามที่นักกลยุทธ์บางคนพูดถึงหรือไม่ แต่การผสมผสานระหว่างความต้องการด้านการเงินและอุตสาหกรรม หมายความว่าโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในจุดศูนย์กลางของบทสนทนาเกี่ยวกับสินทรัพย์ปลอดภัย, วัสดุพลังงานสีเขียว และการกระจายความเสี่ยงด้วยโลหะมีค่าไปอีกระยะหนึ่ง 

article-thumbnail

2025-11-28 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

มาถึงก่อนกำหนด: หุ้นกลุ่ม AI ลดราคาก่อนใคร 

ตลาดไม่รอให้ถึงวัน Black Friday ในปีนี้ หุ้นกลุ่ม AI เปิดฤดูกาลลดราคาของตัวเองล่วงหน้า และจังหวะครั้งนี้สะท้อนชัดว่า มุมมองนักลงทุน กำลังเคลื่อนไปในทิศทางไหน  หลังจากกระแสความร้อนแรงติดต่อกันหลายเดือน ในที่สุดนักเทรดก็เริ่มเบรก ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับท่าทีของเฟด ข้อมูลแรงงานที่เริ่มอ่อนแรง และความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อโอกาสการลดดอกเบี้ยระยะสั้น ล้วนเป็นแรงกดดันที่ทำให้ตลาดปรับฐานอย่างรวดเร็ว  สรุปง่ายๆ คือ หุ้นเด่นแห่งปี 2025 เริ่มย่อตัวจริงจัง และรอบนี้ไม่ได้เกี่ยวกับผลประกอบการเลย แต่เกิดจากอารมณ์ของตลาดและแรงกดดันด้านมหภาคเป็นหลัก  เรามาแยกดูให้ชัดว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นการปรับลงครั้งนี้ และทำไมมันจึงสำคัญต่อหุ้นกลุ่ม AI ก่อนเข้าสู่เดือนธันวาคม  อย่างไร ฤดูกาล Black Friday และข้อมูลเศรษฐกิจมหภาค กดดันหุ้นกลุ่ม AI  ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่าง ใส่ราคา คาดการณ์ว่าธนาคารกลางจะลดดอกเบี้ยเชิงรุก จากนั้นเรื่องก็เปลี่ยนไปทันที  รายงานการจ้างงานเดือนกันยายนออกมาดีกว่าที่คาดไว้ ทำให้ตลาดต้องกลับมาคิดใหม่ว่าเฟดพร้อมจะผ่อนนโยบายเร็วแค่ไหน โดยปกติแล้ว แรงงานแข็งแกร่งมักเป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจ แต่ครั้งนี้กลับส่งสัญญาณไม่ดีต่อหุ้นเติบโตสูง  หุ้นกลุ่ม AI มักทำผลงานได้ดีในช่วงดอกเบี้ยต่ำ เพราะมูลค่ากำไรในอนาคตจะเพิ่มสูงขึ้น แต่เมื่อความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยเริ่มจางลง หุ้นเติบโตก็เสียแรงหนุนสำคัญทันที การเปลี่ยนทิศแบบนี้ปรากฏให้เห็นชัดในภาคเทคโนโลยี เมื่อบรรดานักเทรดเริ่มปิดสถานะที่มองโลกในแง่ดีเกินไป  นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่าการย่อตัวครั้งนี้ไม่ได้สะท้อนปัญหาพื้นฐานของหุ้นกลุ่ม AI แต่เป็นผลจากสภาพเศรษฐกิจมหภาคที่เปลี่ยนไปช่วงสั้นๆ ซึ่งกดดันกลุ่มหุ้นเติบโตสูงในวงกว้าง  ผลกระทบของการขาดข้อมูลเศรษฐกิจต่อความผันผวนของหุ้นกลุ่ม AI  ตอนนี้เรามีเพียงรายงานการจ้างงานเดือนกันยายนเท่านั้น ข้อมูลเดือนตุลาคมยังไม่ออก ข้อมูลเดือนพฤศจิกายนก็ยังไม่ออก และเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดกำลังจะมาถึงในเดือนธันวาคม เมื่อเฟดประกาศการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยครั้งถัดไป  สถานการณ์แบบนี้ทำให้นักลงทุนตัดสินใจได้ยากขึ้นมาก  เมื่อไม่มีตัวเลขการจ้างงานล่าสุด ไม่มีสัญญาณเงินเฟ้อ และไม่มีถ้อยแถลงชัดเจนจากเฟด นักเทรดจึงไม่อาจไล่ซื้อหุ้นกลุ่ม AI ที่ราคาพุ่งสูงได้อย่างมั่นใจ ช่วงรอคอยนี้ยิ่งเพิ่มความตึงเครียดให้ตลาด และความผันผวนก็สูงขึ้นตามธรรมชาติเมื่อความมั่นใจเริ่มลดลง  กลุ่มหุ้น AI จึงกลายเป็นเหยื่อรายแรกของความลังเลนี้  เหตุใดหุ้นกลุ่ม AI จึงปรับฐาน หลังจากพุ่งแรงมาหลายเดือน  ก่อนเกิดการย่อตัวรอบนี้ หุ้นกลุ่ม AI รายใหญ่หลายตัวพุ่งขึ้นแรงตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกลางเดือนตุลาคม Nvidia, AMD, Broadcom, Microsoft และระบบนิเวศโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ทั้งหมด ซื้อขายกันที่ระดับมูลค่าที่สูงมาก  นักลงทุนไม่ได้ทิ้งธีม AI พวกเขาเพียงแค่ทำกำไรบางส่วนออกมาเท่านั้น  การรีเซ็ตตัวรอบนี้ไม่ได้ทำให้เทรนด์ AI หายไป มันเพียงดึงราคาให้กลับลงมาอยู่ในระดับที่นักเทรดรู้สึกสบายใจกว่าในช่วงที่ภาพเศรษฐกิจมหภาคยังไม่ชัดเจน  ลองคิดซะว่าตลาดกำลัง ผ่อนลมหายใจ หลังจากกลั้นมาหลายเดือน  หากต้องการอ่านเจาะลึกว่าทำไมหุ้นกลุ่ม AI ถึงเหวี่ยงแรงในแต่ละรอบของกระแสความคาดหวัง คุณสามารถอ่านบทวิเคราะห์ก่อนหน้าของเราได้ที่: เราถาม ChatGPT ว่า: กระแส AI ครั้งนี้คือฟองสบู่ Dot Com ยุคใหม่หรือไม่?  ผลกระทบของความไม่แน่นอนจากเฟดต่อหุ้นกลุ่ม AI  นี่คือเหตุผลจริงที่อยู่เบื้องหลังความผันผวน ตลาดยังไม่รู้ว่าการลดดอกเบี้ยครั้งแรกจะเกิดขึ้นเมื่อใด   ความไม่ชัดเจนนี้ทำให้นักลงทุนเข้าสู่โหมด ตั้งรับ เมื่อดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงนานขึ้น หุ้นเติบโตสูงจะสูญเสียแรงส่ง เพราะกำไรในอนาคตถูกคิดลดมูลค่ามากขึ้น  กลุ่มหุ้น AI มักตอบสนองต่อความคาดหวังเรื่องดอกเบี้ยเร็วกว่าแทบทุกกลุ่ม ดังนั้นเมื่อความเชื่อมั่นเปลี่ยน หุ้นกลุ่มนี้จึงมักเป็นกลุ่มแรกที่โดนผลกระทบหนักที่สุด  จนกว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนขึ้นในเดือนธันวาคม ความไม่แน่นอนนี้ยังคงมีผลต่อการกำหนดราคาในตลาด  ชาร์ตสำคัญที่ต้องจับตา: หุ้นผู้นำด้าน AI ยังมีโครงสร้างขาขึ้น  แม้จะมีการปรับฐานในช่วงที่ผ่านมา แต่หุ้นกลุ่ม AI ชั้นนำหลายตัวยังคงแสดงโครงสร้างขาขึ้นที่ชัดเจนบนกราฟ การย่อตัวรอบนี้สะท้อนทั้งอารมณ์ตลาดและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาค มากกว่าจะเป็นสัญญาณว่าระยะยาวเริ่มเสียแนวโน้ม ต่อไปนี้คือสามหุ้นสำคัญที่แสดงภาพนี้ได้อย่างชัดเจน  Nvidia (NVDA)  Nvidia ยังคงรักษาโครงสร้างขาขึ้นที่แข็งแรง โดยมีแนวรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การปรับฐานรอบล่าสุดเพียงแค่ดันราคาให้เข้าใกล้โซนที่ผู้ซื้อปกป้องไว้เสมอ โครงสร้างภาพรวมยังดูดีและไม่มีสัญญาณว่ากำลังหมดแรงขึ้น  Broadcom (AVGO)  ชาร์ตของ Broadcom แสดงให้เห็นว่าราคายังยืนเหนือโซนรับสำคัญและใกล้ระดับสูงก่อนหน้า การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงหลังยังคงรักษาโครงสร้างขาขึ้นในภาพใหญ่ไว้ได้ โมเมนตัมก็ยังแข็งแรง AVGO แสดงโมเมนตัมสม่ำเสมอจากความต้องการด้าน AI networking และการย่อตัวรอบนี้ก็ไม่ละเมิดระดับโครงสร้างใดๆ แนวโน้มยังอยู่ครบและสะท้อนถึงความสนใจของสถาบันที่ยังต่อเนื่อง   Tesla (TSLA)  Tesla มักเคลื่อนไหวผันผวนกว่าหุ้นกลุ่ม AI ตัวอื่น แต่โครงสร้างภาพกว้างยังถือว่าดูดี TSLA ยังคงทำจุดต่ำใหม่ที่สูงขึ้น และรักษาโซนรับสำคัญที่ดึงดูดผู้ซื้อมาโดยตลอดไว้ได้   สามชาร์ตนี้บอกเราชัดเจนอย่างหนึ่ง เรื่องราวไม่ได้เปลี่ยนไป แนวโน้มยังไม่เสีย เพียงแต่อารมณ์ตลาดเริ่มเย็นลงจนกว่าเราจะได้ความชัดเจนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่จะออกมา และการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคม  หุ้นกลุ่ม AI ร่วงเพราะปัจจัยมหภาค ไม่ใช่พื้นฐาน  […]

article-thumbnail

2025-11-20 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

บิตคอยน์กำลังเข้าสู่ตลาดหมีแล้วหรือยัง?

หลังจากพุ่งขึ้นมากกว่า 70% ตั้งแต่เดือนเมษายน คริปโตเบอร์หนึ่งของโลกก็ได้ปรับตัวลงมาแล้วประมาณ 26% จากจุดสูงสุด ทำให้หลายคนเริ่มพูดถึงความเป็นไปได้ของคริปโตแครช และการเกิดตลาดหมีรอบใหม่  แต่คำถามที่สำคัญจริงๆ คือ ตอนนี้บิตคอยน์เข้าตลาดหมีแล้วจริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงการย่อตัวกลางรอบตามวัฏจักรเท่านั้น  อาจจะยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าเป็นตลาดหมี ทั้งปัจจัยมหภาค จังหวะของวัฏจักร และประวัติของบิตคอยน์เอง ต่างชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า นี่อาจเป็นเพียงการรีเซ็ตภายในรอบขาขึ้นใหญ่ของคริปโตเท่านั้น  เราอยู่ในตลาดกระทิงหรือหมี  โดยทั่วไปแล้ว หากจะบอกว่าเข้าสู่ตลาดหมี ราคาต้องร่วงลงมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ไม่ใช่ 26 เปอร์เซ็นต์ และสำหรับคริปโต การย่อตัวในช่วง 20 ถึง 35 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แม้ในช่วงขาขึ้นแรงๆ  ในความเป็นจริงแล้ว  แล้วตอนนี้เราอยู่ตรงไหน  การลงมาประมาณ 26 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าอยู่ในช่วงล่างของการปรับฐานปกติ ไม่ใช่การเสียโครงสร้างสำคัญ คำถามว่า “บิตคอยน์จะขึ้นต่อไหม” จึงขึ้นอยู่กับภาวะการย่อตัวรอบนี้ และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้มากกว่า  ในตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณใดบ่งบอกว่าเป็นตลาดหมีแบบยืนยัน โครงสร้างภาพใหญ่ยังคงแข็งแรงอยู่  ภาพมหภาคของบิตคอยน์ยังชี้ว่ามีโอกาสขึ้นต่อ  ลองมองภาพใหญ่ในเชิงมหภาค  • มีแนวโน้มว่าดอกเบี้ยจะถูกปรับลดลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า  ซึ่งโดยทั่วไป การลดดอกเบี้ยมักกระตุ้นสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงคริปโตด้วย  • ตอนนี้เริ่มมีการพูดถึงสภาพคล่องแบบคล้าย QE หากเศรษฐกิจเริ่มอ่อนแรง   สภาพคล่องที่มากขึ้นถือว่าเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีต่อบิตคอยน์และตลาดหุ้น  • ผลตอบแทนแท้จริงที่ลดลงก็มักจะส่งผลดีต่อบิตคอยน์เช่นกัน  บิตคอยน์มักเคลื่อนไหวคล้ายสินทรัพย์ที่มีเบต้าสูง เมื่ออัตราผลตอบแทนลดลง ความสนใจจากนักลงทุนจะเพิ่มขึ้น  เมื่อรวมสิ่งเหล่านี้เข้ากับกระแสเงินไหลเข้าจาก ETF และดีมานด์ของสถาบัน ภาพรวมของวัฏจักรจึงยังคงเอียงไปในทาง ขาขึ้น ไม่ใช่ขาลง  นี่คือเหตุผลที่นักลงทุนระยะยาวหลายคนเชื่อว่า เรายังอยู่เพียงช่วงต้นของรอบขยายตัวรอบนี้เท่านั้น  อะไรทำให้บิตคอยน์ร่วงลง?  ปัจจัยจริงที่ตรวจสอบได้มีดังนี้:  1. การทำกำไรหลังจากขึ้นมา 70%  กองทุนรายใหญ่ล็อกกำไรบางส่วน ไม่ใช่สัญญาณขาลง แค่พฤติกรรมตลาดปกติ  2. การหมุนเงินของ ETF (กระแสเงินเข้า BlackRock และ Fidelity ชะลอตัวชั่วคราว)  กระแสเงินเข้า ETF ไม่ได้พลิกเป็นไหลออก แค่ชะลอลงไม่กี่สัปดาห์หลังจากมีเงินไหลเข้ารอบใหญ่การพักตัวนี้เพียงพอที่จะเปิดช่องให้ฝั่งขายคุมเกมระยะสั้นได้  สิ่งนี้สอดคล้องกับความสนใจที่เพิ่มขึ้นต่อ การคาดการณ์ BlackRock Bitcoin ETF ปี 2025 เพราะสถาบันอาจเพิ่มการสะสมเมื่อภาพเศรษฐกิจชัดขึ้น  3. แรงขายจากนักขุด  หลัง Halving นักขุดมักต้องขาย BTC มากขึ้นเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย เป็นแรงขายเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เพราะมุมมองขาลง และตามสถิติจะกินเวลาประมาณ 2–3 เดือน  4. สภาพคล่องทั่วโลกตึงตัวชั่วคราว  ทอง หุ้น และคริปโต ต่างก็พักลงพร้อมกันเพราะสภาพคล่องโลกตึงตัวเล็กน้อย สถานการณ์แบบนี้ทำให้ตลาดเข้าสู่โหมด “หลีกเลี่ยงความเสี่ยง” ก่อนจะเกิดตัวเร่งเศรษฐกิจรอบใหม่   ทั้งสี่ปัจจัยรวมกันก่อให้เกิดเพียง ภาวะอุปทานล้นแบบชั่วคราว ไม่ใช่สัญญาณว่าตลาดบิตคอยน์กำลังแตกหรือเข้าสู่ขาลงระยะยาว  ความเสี่ยงจากการหมุนเงิน: ทองกำลังแย่งสภาพคล่องจากบิตคอยน์จริงไหม?  นี่คือมุมที่น้อยคนพูดถึง แต่คุณควรรู้ไว้  ตอนนี้ทองกำลังพุ่งแรง สภาพคล่องที่ไหลออกไปก่อนหน้านี้กำลังไหลกลับเข้าทองอีกครั้ง ขณะที่บิตคอยน์เริ่มเย็นลง  คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้น:  สภาพคล่องของบิตคอยน์กำลังหมุนเข้าสู่ทองหรือไม่?  ก็มีความเป็นไปได้  แบบชั่วคราว  ทองตอนนี้ใกล้ทำจุดสูงสุดตลอดกาล ส่วนบิตคอยน์ยังต่ำกว่าจุดสูงสุดของตัวเองอยู่ เมื่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น เงินบางส่วนมักจะไหลจากสินทรัพย์ผันผวน (BTC) ไปยังสินทรัพย์ที่ “ปลอดภัยกว่า” อย่างทอง  แต่สิ่งนี้ไม่ได้แปลว่ารอบขาขึ้นของบิตคอยน์จบแล้ว ตามประวัติศาสตร์ ทองและบิตคอยน์ผลัดกันเด่นขึ้นอยู่กับช่วงของวัฏจักรเศรษฐกิจ และสุดท้ายก็มักจะกลับมาขึ้นคู่กันเมื่อสภาพคล่องกลับมา  ตอนนี้ ทองกำลังพักกินสภาพคล่องจาก BTC แต่รอบวัฏจักรเปลี่ยนเร็วเสมอ  มุมมองทางเทคนิค: บิตคอยน์ไม่ได้พัง  มาดูกราฟกันก่อน  บิตคอยน์ยังคงยืนอยู่เหนือ จุดต่ำระยะยาวที่ยกตัวสูงขึ้น โครงสร้างราคาโดยรวมยังไม่เสีย เพียงแค่เป็นช่วงพักฐาน ไม่ใช่ภาวะล่มสลายของแนวโน้ม  และนี่คือจุดสำคัญที่หลายคนลืมไป:  เหตุการณ์ย่อตัวแบบเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในเดือนมีนาคม 2025  จากความกังวลเรื่องภาษีนำเข้า ราคาบิตคอยน์เคยร่วงลงมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งลึกกว่าการปรับฐานรอบนี้ที่ราว 26 เปอร์เซ็นต์ที่เราเห็นในตอนนี้  แต่ถึงอย่างนั้น  หลังจากการร่วงครั้งนั้น บิตคอยน์กลับเข้าสู่ช่วงสะสมตัวใหม่ ความเชื่อมั่นในตลาดถูกรีเซ็ต และแนวโน้มขาขึ้นก็เดินหน้าต่อ  การเคลื่อนไหวในรอบปัจจุบันนี้มีลักษณะ คล้ายกันมาก  ประวัติศาสตร์อาจไม่เกิดซ้ำแบบเดิมทุกจุด แต่ก็มักจะ คล้องจองกัน เสมอ  […]

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement